วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ผลทางกฎหมายระหว่างโมฆะกรรมกับโมฆียะกรรม



โมฆกรรม หมายความว่า การทำนิติกรรมใดๆที่ผลของนิติกรรมที่ได้ทำขึ้นนั้นเสียเปล่า ไม่มีผลผูกพันที่จะใช้บังคับได้ตามกฎหมาย การเสียเปล่าของนิติกรรมนั้นมีมาตั้งแต่เริ่มต้นของการทำนิติกรรมจึงถือได้ว่าผู้ที่ทำนิติกรรมที่เป็นโมฆะมิได้ทำนิติกรรมนั้นขึ้นเลย[1]


โมฆียกรรม หมายความว่า นิติกรรมซึ่งอาจถูกบอกล้างหรือให้สัตยาบัน ถ้ามิได้บอกล้างภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดก็เป็นอันหมดสิทธิที่จะบอกล้าง แต่เมื่อบอกล้างแล้วโมฆียกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ คู่กรณีกลับสู่ฐานะเดิม หรือถ้ามีการให้สัตยาบันยืนยันที่จะผูกผันตามโมฆียกรรมนั้นก็เท่ากับสละสิทธิในอันที่จะบอกล้างนิติกรรมที่ได้กระทำขึ้น[2]

ลักษณะของโมฆะกรรม

        โมฆะกรรมนั้นมีลักษณะดังนี้

1 โมฆะกรรมนั้นไม่อาจให้สัตยาบันได้ คำว่า "สัตยาบัน" เป็นศัพท์กฎหมาย หมายความว่า การแสดงเจตนารับรองนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ ให้มีผลสมบูรณ์ ใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่กรณีตลอดไปโมฆะกรรมไม่อาจมีการให้สัตยาบันได้ เพราะนิติกรรมที่เป็นโมฆะนั้นได้เสียเปล่ามาตั้งแต่เริ่มทำ

2 โมฆะกรรมนั้นผู้มีส่วนได้เสียคนใดจะกล่าวอ้างอิงขึ้นได้ ไม่จำเป็นต้องบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด บุคคลภายนอกคนใดก็ตามที่มีส่วนได้เสียในโมฆะกรรมนั้นย่อมอ้างได้ทั้งสิ้น คำว่า " มีส่วนได้เสีย" หมายความว่าบุคคลนั้นอาจได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ ถ้าหากนิติกรรมอันนั้นมีผลใช้บังคับกันได้หรือเรียกอีกอย่างว่าอาจเกิดสิทธิหรือหน้าที่ขึ้นมา



3 โมฆะกรรมนั้นจะกล่าวอ้างขึ้นเมื่อใดก็ได้ ไม่มีกำหนดระยะเวลา (ไม่มีอายุความ)

4 ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นย่อมเป็นโมฆะทั้งหมด แต่ในกรณีที่พึงสันนิฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งคู่กรณีว่าคู่กรณีเจตนาจะให้ส่วนที่สมบูรณ์แยกออกจากส่วนที่ไม่สมบูรณ์ กล่าวคือเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า คู่กรณีต้องการจะให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์เท่านั้น

5 เป็นโมฆะแต่ถ้าไปเข้าแบบนิติกรรมอื่นที่สมบูรณ์และเป็นที่สันนิษฐานว่าถ้าคู่กรณีรู้ว่าแม้นิติกรรมแบบที่ทำไม่สมบูรณ์แต่เข้าแบบอื่นที่สมบูรณ์ก็พอใจจะให้นิติกรรมสมบูรณ์ตามแบบหลังนั้น

ลักษณะของโมฆียกรรม
       โมฆียกรรมมีลักษณะดังนี้
1 อาจบอกล้างหรือให้สัตยาบันได้ การบอกล้างโมฆียกรรมหมายความว่าการแสดงเจตนาบอกเลิกหรือปฎิเสธนิติกรรมที่เป็นโมฆียะมิให้มีผลใช้บังคับตามกฎหมาย และเมื่อบอกล้างแล้วถือว่านิติกรรมนั้นเป็นโมฆะใช้ไม่ได้มาแต่เริ่มแรกที่ทำกัน ส่วนการให้สัตยาบันหมายถึงการรับรองนิติกรรมว่าได้ใช้สมบูรณ์
2 ผู้มีสิทธิบอกล้างหรือให้สัตยาบัน ผู้ซึ้งจะบอกโมฆียะกรรมได้นั้นจะต้องเป็นบุคคลที่กฎหมายกำหนดไว้ กล่าวคือ ผู้ไร้ความสามารถหรือได้ทำการแสดงเจตนาโดยวิปริตหรือผู้แทนโดยชอบธรรมหรือพิทักษ์ หรือทายาทของบุคคลของผู้ไร้ความสามารถหรือผู้แสดงเจตนาโดยวิปริตเท่านั้น คำว่าทายาทของบุคคลเช่นว่านั้น ตามที่กฎหมายใช้นั้น ไม่ได้หมายความรวมถึงทายาทของผู้จัดการแทนคือไม่รวมถึงทายาทของผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล ผู้พิทักษ์ด้วย

3
ระยะเวลาการบอกล้างและการให้สัตยาบัน การบอกล้างหรือให้สัตยาบันจะต้องกระทำภายในระยะเวลากฎหมายกำหนด คือ
      3.1 ระยะเวลาบอกล้าง กฏหมายแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
           3.1.1 กำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่รู้ว่าได้มีการทำนิติกรรมนั้น กำหนดระยะเวลา 1 ปีนี้เป็นอายุความที่สั้น คือรู้เมื่อใดก็ต้องบอกล้างภายใน 1 ปี มิฉะนั้นจะบอกล้างอีกมิได้
สำหรับตัวผู้ทำนิติกรรมกฎหมายยังกำหนดไว้อีกว่าเมื่อสามารถจะให้สัตยาบันได้เมื่อประสงค์จะบอกล้างก็ต้องบอกภายใน 1 ปี นับแต่วันนั้น มิฉะนั้นก็สิ้นสิทธิจะบอกล้าง
           3.1.2 กำหนดระยะเวลา 10 ปี นับแต่นิติกรรมนั้นได้ทำลงเป็นกำหนดอายุความที่ยาว แต่มิได้หมายความว่าจะใช้อายุความ 10 ปีตลอดไป หากแต่อายุความ 1 ปี นับแต่รู้จะซ่อนอยู่ในกำหนดอายุความ 10 ปี กล่าวคือแม้จะไม่มีโอกาสรู้เลยแต่เมื่อกำหนดอายุความล่วงเลยไปถึง 10 ปี นับแต่นิติกรรมได้ทำลงแล้ว ก็ไม่มีทางจะบอกล้างไดีอีกเลย
      3.2 ระยะเวลาให้สัตยาบัน กฎหมายกำหนดไว้ว่าผู้ซึ่งจะให้สัตยาบันได้ก็คือผู้ซึ่งบอกล้างได้ และระยะเวลาที่ให้สัตยาบันได้ต้องเป็นภายหลังจากมูลเหตุที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะนั้นได้สูญสิ้นไปแล้ว กล่าวคือถ้าเป็นผู้เยาว์ก็ต้องพ้นจากสภาพการเป็นผู้เยาว์ ถ้าเป็นคนไร้ความสามารถก็ต้องจากสภาพการเป็นคนไร้ความสามารถเป็นต้น แต่จะต้องให้สัตยาบันเมื่อใดนั้นกฎหมายมิได้กำหนด ฉะนั้นจะให้เมื่อใดก็ได้แต่ถ้าไม่ได้ให้สัตยาบันและเมื่อพ้นกำหนดบอกล้างแล้ว ก็ถือว่าได้ให้สัตยาบันแล้วโดยปริยาย

วิธีบอกล้างหรือให้สัตยาบัน
1 โดยทั่วไปแล้วการบอกล้างหรือให้สัตยาบันนั้น กระทำได้โดยการแสดงเจตนา แต่กฎหมายมิได้บัญญัติไว้ว่าต้องเป็นการแสดงเจตนาแบบใด ฉะนั้นผู้ซึ่งจะบอกล้างหรือให้สัตยาบันจะแสดงเจตนาอย่างไรก็ได้ เช่นจะแสดงโดยกิริยาอาการ หรือวาจาหรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ทั้งสิ้น จะโดยตรงหรือโดยปริยายก็ได้ แต่จะต้องบอกล้างหรือให้สัตยาบันแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหรือผู้แทน ซึ่งถ้ามีคัวแน่นอนต้องบอกล้างหรือให้สัตยาบันแก่บุคคลนั้นๆ

2 บางกรณี แม้ว่าจะไม่มีการให้สัตยาบันตามวิธีที่ได้กล่าวมาในข้อ 1 ก็ตาม แต่ได้มีการแสดงอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กฎหายกำหนดก็แสดงว่าได้ให้สัตยาบันแล้วเช่นกัน

ผลของการบอกล้างหรือให้สัตยาบัน
1 ผลของการบอกล้าง มีดังนี้คือ
      1.1 นิติกรรมใดเมื่อถูกบอกล้างแล้วถือว่านิติกรรมนั้นเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก กล่าวคือไม่มีผลบังคับมาแต่แรกถือเสมือนว่าไม่มีการทำนิติกรรมเลยทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องกลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิม
      1.2 บุคคลซึ่งควรจะรู้ถึงสาเหตุโมฆียะนั้นเมื่อมีการบอกล้างแล้วถือว่าบุคคลนั้นได้รู้แล้วว่าการนั้นไม่สมบูรณ์
ผลของการให้สัตยาบัน โมฆียะกรรมใดเมื่อได้ให้สัตยาบันแล้วถือว่านิติกรรมนั้นสมบูรณ์มาแต่แรกเริ่ม[3]



โมฆะกรรม และ โมฆียะกรรม 
มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์   


บรรพ 1 หลักทั่วไป 
   ลักษณะ 4 นิติกรรม 
       หมวด 3 โมฆะกรรมและโมฆียกรรม มาตรา 172-181

 *    ผลของโมฆะกรรม,การคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม วรรค 2

    มาตรา 172 โมฆะกรรมนั้นไม่อาจให้สัตยาบันแก่กันได้และผู้มี ส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดจะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างก็ได้

            ถ้าจะต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม ให้นำบทบัญญัติ ว่าด้วยลาภมิควรได้แห่งประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคับ

โมฆะกรรมอาจแยกส่วนที่สมบูรณ์ออกได้

    มาตรา 173 ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะนิติกรรม นั้นย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น เว้นแต่จะพึงสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์ แห่งกรณีว่า คู่กรณีเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะนั้นแยกออกจาก ส่วนที่เป็นโมฆะได้

* โมฆะกรรมอาจสมบูรณ์เป็นนิติกรรมอย่างอื่น
    มาตรา 174 การใดเป็นโมฆะแต่เข้าลักษณะเป็นนิติกรรมอย่างอื่น ซึ่งไม่เป็นโมฆะ ให้ถือตามนิติกรรมซึ่งไม่เป็นโมฆะ ถ้าสันนิษฐานได้ โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า หากคู่กรณีได้รู้ว่าการนั้นเป็นโมฆะแล้ว ก็คงจะได้ตั้งใจมาตั้งแต่แรกที่จะทำนิติกรรมอย่างอื่นซึ่งไม่เป็นโมฆะนั้น

* บุคคลที่มีสิทธิบอกล้าง
    มาตรา 175 โมฆียะกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้
(1)ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้เยาว์ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ ผู้เยาว์จะบอกล้างก่อนที่ตนบรรลุนิติภาวะก็ได้ถ้าได้รับความยินยอม ของผู้แทน โดยชอบธรรม
(2)บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ ความสามารถ เมื่อบุคคลนั้นพ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถหรือ คนเสมือนไร้ความสามารถแล้ว หรือผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณี แต่คนเสมือนไร้ความสามารถจะบอกล้างก่อนที่ตนจะพ้นจากการเป็น คนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้ถ้าได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์
(3)บุคคลผู้แสดงเจตนาเพราะสำคัญผิด หรือถูกกลฉ้อฉล หรือ ถูกข่มขู่
(4)บุคคลวิกลจริตผู้กระทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะตาม มาตรา 30 ในขณะที่จริตของบุคคลนั้นไม่วิกลแล้ว
        ถ้าบุคคลผู้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะถึงแก่ความตาย ก่อนมีการ บอกล้างโมฆียะกรรม ทายาทของบุคคลดังกล่าวอาจบอกล้าง โมฆียะกรรมนั้นได้

ผลของการบอกล้าง
    มาตรา 176 โมฆียะกรรมเมื่อบอกล้างแล้ว ให้ถือว่าเป็นโมฆะ มาแต่เริ่มแรก และให้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าเป็นการพ้น วิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้ ก็ให้ได้รับค่าเสียหายชดใช้ให้แทน
        ถ้าบุคคลใดได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าการใดเป็นโมฆียะ เมื่อบอกล้าง แล้วให้ถือว่าบุคคลนั้นได้รู้ว่าการนั้นเป็นโมฆะ นับแต่วันที่ได้รู้หรือ ควรจะได้รู้ว่าเป็นโมฆียะ
        ห้ามมิให้ใช้สิทธิเรียกร้องอันเกิดแต่การกลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม วรรคหนึ่งเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่วันบอกล้างโมฆียะกรรม

* ผู้ที่มีสิทธิให้สัตยาบัน
    มาตรา 177 ถ้าบุคคลผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมตามมาตรา ๑๗๕ ผู้หนึ่งผู้ใด ได้ให้สัตยาบันแก่โมฆียะกรรม ให้ถือว่าการนั้นเป็นอันสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก แต่ทั้งนี้ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอก

* วิธีการบอกล้างหรือให้สัตยาบันโมฆียะกรรม
    มาตรา 178 การบอกล้างหรือให้สัตยาบันแก่โมฆียะกรรม ย่อมกระทำได้โดยการแสดงเจตนาแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลที่มีตัวกำหนดได้แน่นอน

* หลักเกณฑ์ของการให้สัตยาบันโดยสมบูรณ์

         มาตรา 179 การให้สัตยาบันแก่โมฆียะกรรมนั้น จะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้กระทำภายหลังเวลาที่มูลเหตุให้เป็นโมฆียะกรรมนั้นหมดสิ้นไปแล้ว
บุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถหรือบุคคลวิกลจริต ผู้กระทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะตามมาตรา ๓๐จะให้สัตยาบันแก่โมฆียะกรรมได้ต่อเมื่อได้รู้เห็นซึ่งโมฆียกรรมนั้นภายหลังที่บุคคลนั้นพ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ หรือในขณะที่จริตของบุคคลนั้นไม่วิกล แล้วแต่กรณี
ทายาทของบุคคลผู้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะ จะให้สัตยาบันแก่โมฆียะกรรมได้นับแต่เวลาที่ผู้ทำนิติกรรมนั้นถึงแก่ความตาย เว้นแต่สิทธิที่จะบอกล้างโมฆียะกรรมของผู้ตายนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว
บทบัญญัติวรรคหนึ่งและวรรคสองมิให้ใช้บังคับ ถ้าการให้สัตยาบันแก่โมฆียะกรรมกระทำโดยผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์

* การให้สัตยาบันโดยปริยาย
   มาตรา 180 ภายหลังเวลาอันพึงให้สัตยาบันได้ตามมาตรา ๑๗๙ ถ้ามีพฤติการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้เกิดขึ้นเกี่ยวด้วยโมฆียะกรรมโดยการกระทำของบุคคลซึ่งมีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมตามมาตรา ๑๗๕ ถ้ามิได้สงวนสิทธิไว้แจ้งชัดประการใดให้ถือว่าเป็นการให้สัตยาบัน
() ได้ปฏิบัติการชำระหนี้แล้วทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
() ได้มีการเรียกให้ชำระหนี้นั้นแล้ว
() ได้มีการแปลงหนี้ใหม่
() ได้มีการให้ประกันเพื่อหนี้นั้น
() ได้มีการโอนสิทธิหรือความรับผิดทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
()ได้มีการกระทำอย่างอื่นอันแสดงได้ว่าเป็นการให้สัตยาบัน

* กำหนดเวลาบอกล้างโมฆียะกรรม
   มาตรา 181 โมฆียะกรรมนั้นจะบอกล้างมิได้เมื่อพ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ หรือเมื่อพ้นเวลาสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้น[4]

    

ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
         
         คำพิพากษาฎีกาที่ 3072/2536 โจทย์ทั้งสี่ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท อ้างว่าโจทย์ทั้งสี่ซื้อที่ดินพิพาทมาจาก ส. ผู้ล้มละลาย ต่อมาบิดาโจทย์ทั้งสี่ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่โจทย์ทั้งสี่ จำเลยให้การต่อสู้ว่าบิดาซื้อที่ดินพิพาทจาก ส. ในขณะที่ ส. เป็นบุคคลล้มละลาย นิติกรรมซื้อขายเป็นโมฆะ โจทย์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้จำเลยจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ หากที่นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่าง ส. กับบิดาโจทย์ทั้งสี่เป็นโมฆะ ชอบที่จะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างได้

          คำพิพากษาฎีกาที่ 7378/2542 สัญญากู้ยืมเงินตกลงอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ ผู้ให้กู้ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามสัญญานั้น แต่หนี้เงินกู้ไม่เป็นโมฆะ เมื่อเป็นหนี้สิน ผู้กู้จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ผิดนัดตาม ป.พ.พ. ม.224

              คำพิพากษาฎีกาที่ 378/2524 สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่า (ส.ค.1) ซึ่งได้ทำหนังสือ แต่ไม่มีข้อความตอนใดแสดงให้เห็นว่าคู่สัญญาประสงค์จะทำหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและตกเป็นโมฆะ

           คำพิพากษาฎีกาที่ 2398/2535 นิติกรรมที่จำเลยโอนที่ดินพิพากตีใช้หนี้เงินยืมให้โจทย์เกิดจากกลฉ้อฉลของโจทย์เป็นโมฆียะ สามีจำเลยไม่ใช่เป็นผู้ที่ได้ทำการแสดงเจตนาโดยวิปริตหรือเป็นบุคคลที่กฎหมายให้สิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมได้

           คำพิพากษาฎีกาที่ 1950/2518 ม. เจ้าของที่ดินฟ้องจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ใช้กลฉ้อฉลโอนเอาที่ดินไปขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 1 ออกจากโฉนดที่ดิน ศาลพิพากษาให้ตามขอ คดีถึงที่สุด ระหว่างที่ยังไม่มีการเพิกถอนชื่อ จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินนั้นให้แก่จำเลยที่ 2 ดังนี้ถือว่าก่อนการโอนขายของจำเลยที่ 1 นิติกรรมโอนที่ดินระหว่าง ม.กับจำเลยที่ 1 ได้มีการบอกล้างแล้วผลจึงเท่ากับจำเลยที่ 1 ไม่เคยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเลย ที่ดินยังเป็นของ ม. อยู่ตามเดิม จำเลยที่ 2 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ และยกเหตุการรับโอน โดยเรียกค่าตอบแทนและโดยสุจริตมาใช้ยันโจทย์ซึ่งเป็นทายาทของ ม. หาได้ไม่[5]

        คำพิพากษาฎีกาที่ 819/2500 คู่กรณีได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันที่อำเภอ ต่อมาคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไปร้องต่ออำเภอว่าที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไปนั้นเป็นเพราะตนถูกกลฉ้อฉล ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่คู่กรณีในการทำนิติกรรมฝ่านหนึ่งไปร้องขอต่ออำเภอเช่นนั้นไม่ใช่เป็นการแสดงเจตนาบอกล้างโมฆียะกรรมเพราะไม่ได้บอกล้างแก่คู่สัญญาประนีประนอมยอมความอีกฝ่ายหนึ่ง สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นยังสมบูรณ์อยู่

            คำพิพากษาฎีกาที่ 297/2515 สัญญากู้ยืมเงินที่เกิดจากการหลอกลวงหรือข่มขู่ตกเป็นโมฆียะ แต่เมื่อผู้ให้กู้ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ที่เป็นโมฆียะ ผู้กู้ก็ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้ให้กู้ต่อหน้าศาล การทำสัญญาประนีประนอมยอมความช่นนั้น เป็นการให้สัตยาบันแก่นิติกรรมสัญญาซึ่งเป็นโมฆียะโดยปริยาย

              คำพิพากษาฎีกาที่ 478/2494 โจทย์ฟ้องคดีเพื่อบอกล้างโมฆียะกรรมที่เกิดจากกลฉ้อฉลเทื่อพ้น 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทย์อาจจะให้สัตยาบันได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทย์บอกล้างโมฆียะกรรมเมื่อล่วงเลยกำหนดเวลาบอกล้างตามมาตรา 143 เดิม (ปัจจุบันคือมาตรา 181) ให้ยกฟ้อง[6]









_______________________________________________________




[1] มานิตย์ จุมปา, ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย,พิมพ์ครั้งที่ 9 (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2552),หน้า 272

[2] เรื่องเดียวกัน, หน้า 275

[3] ดร. ประวีณวัชร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา, คำอธิบายหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 1 ว่าด้วย บุคคล ทรัพย์ นิติกรรม สัญญา หนี้ ละเมิด,พิมพ์ครั้งที่ 3 (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สูตรไพศาล,2548),หน้า 95-99

[4] รวบรวมโดย รองศาสตาจารย์ พรชัย สุนทรพันธุ์, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,(กรุงเทพฯ : พิมพ์ บริษัท ธนธัชการพิมพ์ จำกัด,2551),หน้า 61-64

[5] สมศักดิ์ เอี่ยมพลับใหญ่, เกร็ดกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ปีการศึกษา 2549 เล่ม 1,(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์บัณฑิตอังษร,2549),หน้า 43-47 และ 51

[6] อัครวิทย์ สุมาวงค์, คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่า ด้วย นิติกรรม สัญญา,พิมพ์ครั้งที่ 6(กรุงเทพฯ : พิมพ์ สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัญฑิตยสภา,2553),หน้า 158-159 และ 169




                                     บรรณานุกรม

ดร. ประวีณวัชร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา. คำอธิบายหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 1 ว่าด้วย บุคคล ทรัพย์ นิติกรรม สัญญา หนี้ ละเมิด. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สูตรไพศาล,2548.

มานิตย์ จุมปาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2552.


รวบรวมโดย รองศาสตาจารย์ พรชัย สุนทรพันธุ์. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. กรุงเทพฯ : พิมพ์ บริษัท ธนธัชการพิมพ์ จำกัด,2551.

สมศักดิ์ เอี่ยมพลับใหญ่. เกร็ดกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ปีการศึกษา 2549 เล่ม 1. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์บัณฑิตอังษร,2549.

อัครวิทย์ สุมาวงค์. คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่า ด้วย นิติกรรม สัญญา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : พิมพ์ สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัญฑิตยสภา,2553




***************************************************************